พุทธานุสติ อย่าลืมลมหายใจไปเปล่า 

อบรมธรรมกรรมฐาน เรื่อง พุทธานุสติ อย่าลืมลมหายใจไปเปล่า 

โดย หลวงพ่อพระมหาประกอบ   ธมฺมชีโว ภิกฺขุ 26 ธ.ค. 65

 

กาลเวลาต่อไปนี้ เป็นกาลเวลาที่เราท่านทั้งหลาย
ผู้มุ่งมั่นตั้งใจ มาฝึกฝนอบรมใจจะได้ตั้งใจ
เพื่อฝึกฝนอบรมใจ ให้เกิดความสงบ
ให้เกิดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง
ความสงบเป็นเป้าหมายที่เราท่านทั้งหลาย พึงทำให้เกิดมีขึ้น
บัดนี้เราสงบกาย เราสงบวาจา เราทำงานทางใจ
ใจก็ต้องคิดปรุงแต่ง เรายกเอาข้อธรรมข้อใดข้อหนึ่ง
เพื่อให้ใจทำงาน การคิดให้คิดปรุงแต่งเป็นไปในทางบุญ
การคิดปรุงแต่งไปในทางบุญ เพื่อให้จิตรวมอยู่
กับความหมายของคำว่าบุญ ความหมายของคำว่าดี
ความหมายของคำว่าสิ่งที่ดี ๆ
อย่างเช่น ท่านให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้า นั้นก็หมายถึงว่า
พระพุทธเจ้าเป็นคนดี
ให้ระลึกถึงพระธรรม นั้นก็หมายถึงว่าพระธรรมเป็นของดี
ให้ระลึกถึงพระสงฆ์ นั้นก็หมายถึงว่าพระสงฆ์เป็นผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบ
เป็นคนดีที่เราควรเอาอย่าง หรือว่าให้ระลึกถึงศีล
ที่เราสมาทานจะเป็นศีล 5 ศีล 8 สำหรับอุบาสก-อุบาสิกาทั่วไป
หรือศีล10 สำหรับสามเณร หรือว่าศีล 227 สำหรับพระคุณเจ้า
เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ดี หรือว่าให้ระลึกถึงทานการบริจาคการเสียสละ
ที่เราเคยทำมาก่อนหน้านี้ ในความหมายก็หมายถึงว่าทำบุญ
ทำบุญตรงนี้ ทำบุญเนื่องอะไร นึกถึงสิ่งที่เป็นบุญที่เราเคยทำนั้น
มันจะเกิดความสุขเกิดความสบายใจ ก็เป็นอุบายที่ทำให้ใจของเรา
ลดละปล่อยวางความโกรธความเกลียดความเครียดลงไปได้ชุมใจชื่นใจ
หรือว่าระลึกถึงคุณธรรมต่าง ๆ ที่ทำให้เป็นคนดี
ที่ทำให้เป็นคนดี ที่ทำให้เป็นเทวดา
เทวดามีอยู่ 3 ระดับ
1 สมมุติเทพ เรียกว่าเทวดาโดยสมมุติ
ก็หมายถึงคนดีที่เกิดมาเป็นเจ้าฟ้าพระมหากษัตริย์
ที่พสกนิกรทั้งหลายยกขึ้น เป็นผู้นำเป็นประมุข
ด้วยความที่ท่านเคยสั่งสมคุณงามความดีมา
จึงได้ถูกยกย่องเทิดทูลเชิดชูขึ้นเป็นประมุข
2 อุปปัตติเทพ หรือว่าเทวดาโดยกำเนิดเรียกว่าอุปปัตติเทพ
จะเป็นเทวดาชั้นจาตุม รุกขเทวดา พรหมเทวดา อากาศเทวดา
หรือว่าชั้นดาวดึงห์ ชั้นยามา ชั้นดุสิต ชั้นนิมมานรดี
ชั้นปรนิมมิตวสวัสดี หรือแม้แต่ชั้นพรหม
ซึ่งล้วนแล้วแต่ได้ดีเพราะการคิดการทำการพูดในสิ่งที่ดีทั้งนั้น
เรียกว่าสร้างเอาผลที่ดีจากเหตุ คือในปัจจุบัน
หมายถึงว่าเกิดเป็นคนนี่แหละ สั่งสมคุณงามความดี
จึงได้โอกาสไปเกิดเป็นเทวดา
นึกถึงคุณธรรมที่ทำให้เกิดเป็นเทวดา นึกถึงการกระทำที่ทำให้เกิดเป็นเทวดา
นึกถึงคุณธรรมที่ทำให้เป็นเทวดา ก็หมายถึงมีหิริความละอายแก่ใจ
โอตัปปะ ความเกรงกลัวต่อบาป คนที่ละอายใจที่จำทบาปพูดคำชั่ว
ทำสิ่งที่ชั่วคิดสิ่งที่ชั่วท่านเรียกว่าคนมีหิริ คือ ความละอายใจต่อบาป
แม้แต่คิดก็ไม่กล้าที่จะคิดถึงมัน หรือว่ากลัวต่อบาปนั้นที่จะเกิดขึ้น
เหมือนเรารังเกลียดอสรพิษ รังเกลียดสิ่งสกปรกโสโครก
ที่มันจะกระเด็นมาแปดเปื้อนร่างกายของเราที่สะอาด
หลังจากชำระร่างกายแต่งตนแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ก็ไม่อยากให้สิ่งเหล่านี้มันมาแปดเปื้อน
กลัวสกปรกกลัวกลิ่นเหม็นคาว สิ่งที่ชั่วที่เราจะคิดจะทำจะพูดก็เหมือนกัน
ท่านเรียกว่าคุณธรรมที่ทำให้เกิดเป็นเทวดาคือ หิริ ความละอายต่อบาป
โอตัปปะ ความเกรงกลัวต่อบาป อันนี้ก็เป็นสิ่งที่เอามาคิดเพื่อให้จิตของเราดีงาม
กล่อมเกลาจิตให้เกิดความโอนอ่อน น้อมเข้าหาสิ่งที่ดี
พอน้อมเข้าหาสิ่งที่ดี ศูนย์รวมของความดีทั้งหลายทั้งปวง
ที่ท่านพรรณนาไว้ในตำรับตำรา ผู้รู้ทั้งหลายท่านแสดงให้เราท่านทั้งหลายได้ยินดได้ฟัง
หรือเรานึกได้คิดได้ก็แล้วแต่ ความดีทั้งหลายทั้งปวงนั้น
รวมอยู่ที่ความดีที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระผู้เป็นบรมครูของพวกเรานี่แหละที่ท่านเคยประพฤติปฏิบัติมา
หมายถึงว่า
สิ่งที่ดี ๆ ทั้งหลายนิ ที่เราพูดถึงกัน เป็นสิ่งที่บรมครูของพวกเรา
ได้เคยประพฤติปฏิบัติมาแล้ว แล้วก็ทรงยืนยันเป็นพยานหลักฐาน
อันชัดเจนว่าที่พระองค์ทรงกระทำมานั้นถูกต้อง
ดังนั้นเมื่อพระองค์ทรงแนะนำพร่ำสอนด้วยเรื่องใด
ด้วยพระทัยอันหมดจดบริสุทธิ์แล้ว เราท่านทั้งหลายผู้ถึงพุทธ,ธรรม,สงฆ์
ว่าเป็นสรณะที่พึ่งที่นับถืออันแท้จริง
ก็ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะไปสงสัย
สงสัยในพระพุทธเจ้า สงสัยธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้
สงสัยแนวทางการประพฤติปฏิบัติที่ท่านกล่าวไว้
ที่ท่านกล่าวเช่นนั้นก็เพราะว่าท่านประสบผลสำเร็จมาแล้ว
เหมือนท่านเดินผ่านมาแล้ว เหมือนกับเราเข้าใจในความหมายที่เดินผ่านมา
เห็นอะไรบ้าง ? ท่านเห็นละเอียดละออดีงาม
เราอาจจะไม่เห็น แต่ที่ท่านเล่ามาผ่านตรงนั้นผ่านตรงนี้
เพราะเกิดความข้อขัดข้องเช่นนั้นเพราะเกิดความสะดวกสบายเช่นนี้ แก้ไข
ด้วยวิธีนั้นวิธีนี้ ท่านทำมาแล้วท่านจึงเอามาพูด
มาแนะนำให้เราท่านทั้งหลายได้ถือเป็นแนวทาง
ด้วยความปราถนาดีจากใจจริงของท่านแท้ ๆ
ไม่ได้มุ่งหวังว่าจะให้เราเคารพสักการะบูชาหรือหวังลาภอามิสสินจ้างรางวัล
การยกย่องเทิดทูนบูชาแต่ประการใด
เป็นพระเมตตาที่หมดจดบริสุทธิ์ที่แท้จริง
ต่อพระปณิธานดั้งเดิม ที่พระองค์ทรงตั้งพระปณิธาน
ที่จะช่วยเหลือเวไนยสัตว์ทั้งหลายให้รอดพ้นจากทุกข์ทั้งหลายที่มันห่อหุ้มรุมเร้า
สรรพสัตว์ทั้งหลายอยู่ ตกเป็นเครื่องมือของกิเลส ถูกกิเลสมันผูกมัดรัด
เศร้าโศกเสียใจพิไรรำพรรณ เพลิดเพลินเจริญจิต
คิดไปในทางที่ก่อให้เกิดภพเกิดชาติ ท่านเรียกว่าคิดไปในทางที่ไม่มีสาระ
ที่ว่ามันไม่มีสาระก็เพราะว่า จะให้คิดปรุงแต่งกระทำเพื่อให้ได้มาสิ่งนั้นสิ่งนี้
ทั้งหลายทั้งปวงในโลกนี้ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งท่านให้ความหมายว่าไม่มีสาระ
เพราะ..เป็นสิ่งที่เจือไปด้วยชรา คือความแก่ พยาธิ คือความเจ็บไข้ได้ป่วย
มรณะ คือความตาย ความเสียอกเสียใจ แม้จะให้ดีขนาดไหนความพลัดพรากก็จะเกิดขึ้น
ความเสียอกเสียใจก็จะเกิดขึ้นตามมาถ้ามีความยึดติด เหล่านี้แหละที่ว่าเป็นสิ่งที่ไร้สาระ
แม้ปรุงแต่งไปแสวงหาได้มา ก็ไม่หนี้พ้นไปจากความเสื่อม ความไม่เที่ยงความไม่สามารถ
ที่จะให้เป็นไปดังที่เราปรารถนาได้ ท่านจึงกล่าวว่าล้วนแล้วแต่ตกอยู่ในห้วงแห่งความผิดหวังทั้งนั้น
หมายถึงจะไม่สมประสงค์กับที่เราต้องการ แต่เราก็ปลอบใจตนเองอยู่เสมอว่า
ไม่ได้อย่างนี้ก็น่าจะได้อย่างนั้น ไม่เป็นอย่างนี้ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น
แต่ทั้งหลายทั้งปวงนั้นก็ล้วนแล้วแต่อยู่ในกรอบของความเสื่อม
อยู่ในกรอบของความไม่เที่ยง อยู่ในกรอบของความ เกิด – ดับ ทั้งนั้นเลย
ดังนั้นเมื่อเราระลึกถึงพระพุทธเจ้า ระลึกถึงธรรมคำสอนของพระพุทธองค์
หรือว่าระลึกถึงสงฆ์ผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบ สิ่งที่ดี ๆ ที่เราได้ประพฤติตาม
ปฏิบัติตามเช่นทานศีลหรือคุณธรรมต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่เป็นเครื่องมือ
กับการที่จะทำให้เราวิตกวิจาร ไตร่ตรองใคร่ครวญแล้ว เกิดความปิติ
คือเอิบอิ่มใจ เอิบอิ่มในหัวใจ ความเอิบอิ่มในหัวใจคือความสุข
ความสุขที่เกิดขึ้นภายในใจจากการนึกถึงสิ่งที่ดี ๆ ที่เราเคยได้เคยเห็น
เคยเป็นเคยทำมา หรือที่เกิดมีขึ้นในขณะนี้
เหมือนกับเรากำหนด ลมหายใจเข้า – หายใจออก อย่างงี้
หรือว่านึกถึงคำว่า พุทโธ ๆ อย่างต่อเนื่องอย่างนี้
ถ้าเราทำได้ต่อเนื่อง มันจะเกิดความปิติ เกิดความเอิบอิ่ม
เกิดความสุข เรียกว่าทำได้ ทำสำเร็จ ไม่ว่าเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ตาม
จะทำให้เกิดความภาคภูมิใจขึ้นในใจของเรานี่แหละ
เช่นเรากำหนดว่าจะนั่ง 1 ชั่วโมง พอเราทำได้ 1 ชั่วโมง
เราก็เกิดความเอิบอิ่มใจ แม้การผ่านพ้นมาจะทุลักทุเล
เราก็อาศัยความอดทนอดกลั้นให้ถึงเป้าหมายที่ต้องการที่ปรารถนา
ที่อธิษฐานไว้ให้ได้ เมื่อได้แล้วมันก็จะเกิดความภาคภูมิใจ
เอิบอิ่มใจนั้นแหละเป็นต้นเป็นฐานอันสำคัญที่ต่อมาจากความเพียรพยายาม
ที่จะนำไปสู่ความสุขความสบาย
เรานึกพุทโธ หายใจเข้าหายใจออก ไม่ให้ขาดตกบกพร่องตามลำดับ
หายใจเข้าออกด้วยพุท ด้วยโธ เช่นนี้ต่อเนื่องไม่กระตุกไม่สะดุดไม่คลาดเคลื่อนไม่หลง
เมื่อทำได้ก็เกิดความอิ่มใจ เกิดความภาคภูมิใจเกิดความสุข ความเอิบอิ่มใจความภาคภูมิใจ
ความสุขนี่แหละ จะเป็นปากเป็นทางเป็นประตู
ที่จะนำไปสู่ความสงบ เหมือนเรานั่งนี้ถ้าหากว่าร่างกายเราไม่พร้อม
ขันธมารเข้าเบียดเบียน มันก็ไม่พร้อมกับการที่จะเกิดความสุข
นำไปสู่ความสงบ เรียกว่ามีมารเข้ามาผจญ
อากาศร้อนนัก อากาศเย็นนัก สิ่งแวดล้อมไม่ค่อยดี
เหล่านี้ก็ล้วนแล้วแต่เป็นเครื่องข้อง หรือว่าเรียกว่าเป็นมาร
ขวางกั้นเส้นทางที่จะนำไปสู่ความสงบ เมื่อเราได้โอกาสแล้ว
เข้าสู่เส้นทางแล้ว งานสำคัญที่จิตของเราจะต้องทำ คือการวิตกวิจารถึงสิ่งที่ดี ๆ
คำว่าวิตกแปลว่าตรึก
1 เนกขัมวิตก ตรึกเพื่อที่จะหนีจากวัฏฏสงสารนี้ให้ได้รู้เสียงกลิ่นรส สัมผัสอารมณ์
ที่เคยดูเคยชมเคยสัมผัส
ปิดประตูมันไว้ก่อน ความตรึกเช่นนี้ไม่ให้มี
พยาบาทวิตก ตรึกในทางที่โกรธเกลียดเคียดแค้น ต่อคนนั้นคนนี้
ต่อสิ่งนั้นสิ่งนี้ก็ให้ยุติไว้ก่อน
วิหิงสาวิตก ตรึกในทางที่จะเบียดเบียนคนโน้นคนนี้
ให้คนนั้นฉิบหายให้คนนี้เกิดอันตราย ก็ล้วนแล้วแต่เป็นเครื่องก่อกวนให้เกิด
ความฟุ้งซ่านยากกับการที่จะหยั่งลงสู่ความสงบได้
เมื่อวิตกในลักษณะเหล่านี้ ท่านจึงให้พลิกความตรึกหรือวิตกนี้
ออกไปอีกมุมหนึ่งก็คือตรงกันข้าม
เมื่อวิตกวิจารไปในทางตรงกันข้าม
ก็เหมือนกับเปิดประตูถูกทาง เปิดหน้าต่างเปิดเส้นทางถูกทางแล้วดำเนินต่อไป
มันจะเกิดความสุข เกิดปิติ เกิดความสุขตามมา นี่แหละคือปากทางที่จะนำไปสู่ความสงบ
ประตูที่จะนำไปสู่ความสงบ ก็มาจากวิตกวิจาร
วิตกวิจารในทางที่ดี นำไปสู่ปิติความเอิบอิ่มใจ
ความเอิบอิ่มใจนำไปสู่ความสุข เมื่อมีความสุขความสบาย
จิตซึ่งเป็นปกติที่ชอบสุข ชอบสบายไม่เคยพบเคยเห็นความสุขความสบาย
มีหรือที่ไม่อยากลิ้มรสความสุขความสบายอันนี้
ซึ่งมันเป็นความสุขความสบายที่เหนือความสุขใด ๆ
ท่านเรียกว่าสุขที่ไม่ต้องอิงอาศัย อมิตภายนอก
เช่นเมื่อก่อนนั้นเราอิงอาศัยอามิตภายนอก
ตาก็ต้องการรูปที่สวยงามมากระทบ
หูก็ต้องการเสียงที่เพราะ ๆ มากระทบ
กลิ่นก็ต้องการกลิ่นที่หอม มากระทบ
ลิ้นก็ต้องการรสที่อร่อย กายก็ต้องการสัมผัสที่นุ่มนวล
กลั่นกรองมาเป็นอารมณ์ลงไปสู่ใจ
ความสุขที่เกิดขึ้นเหล่านี้อิงอาศัยอมิต
หมายถึงฝ่ายดี ถ้าฝ่ายไม่ดีก็ยิ่งหงุดหงิดงุ่นง่านฟุ้งซ่าน
แต่ฝ่ายก็หงุดหงิดงุ่นง่านฟุ้งซ่าน
แต่ก็ยังดีกว่าฝ่ายไม่ดี อันนี้คือภายนอก
เรียกว่าสุขที่ต้องอาศัยอามิต คือวัตถุเป็นองค์ประกอบ
ส่วนสุขที่เกิดขึ้นภายในที่ใจของเรานี้
เกิดเอิบอิ่มเกิดความสุขขึ้นมาโดยไม่ต้องมีสิ่งเหล่านี้เข้ามาเป็นเครื่องย้อม
เครื่องปรุงแต่งแต่ประการใด อยู่กับพุทโธ อยู่กับลมหายใจ
อยู่กับจิตที่กำหนดพุทโธกำหนดลมหายใจเข้าออกอยู่เนี้ย
ต่อเนื่องไปเรื่อย ต่อเนื่องไปเรื่อย ไม่ต้องไปข้ามต่อไปว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น
ปรุงต่อไปก่อนหน้านั้นว่า มันจะเกิดอยู่ตรงที่เราหายใจเข้าออก
พร้อมคำบริกรรมว่า พุทโธ เรื่อยไปเรื่อยไป เรียกว่าอยู่ในขณะปัจจุบัน
ขณะปัจจุบันมันก็ก้าวไป เราอยู่กับปัจจุบันนี่แหละเราก็ก้าวไป หมายถึงว่า
มันลุกล้ำเข้าไปเรื่อย ลุกล้ำเข้าไปเรื่อย เข้าไปหาความสงบเรื่อย ๆ
เหมือนเราเดิน เราเพียงก้าวทีละก้าว ไม่ใช่ก้าวทีละร้อยก้าวพันก้าว
ก้าวทีละก้าว เพียงแต่ก้าวทีละก้าวมันก็ใกล้เข้าไปเรื่อย ๆ
แต่ถ้าปรุงไปก่อนคิดไปก่อนว่าเมื่อไหร่มันจะได้เมื่อไหร่มันจะถึงก็กับกลายเป็นว่า
เกิดความฟุ้งซ่านขึ้นมา
เกิดความอยากก็ทำให้ปรุงแต่งเรื่องอื่นต่อไปอีก
หาวิธีการอื่น ๆ ต่อไปอีก ที่ดีกว่านี้ที่เลวกว่านี้
นั้นแหลคือความให้เกิดความล่าช้าขึ้นมากับการประพฤติปฏิบัติ
ดังนั้นเราเอาสิ่งใด สิ่งหนึ่งมาเป็นเครื่องกำหนดต่ออารมณ์
รวมเป็นอารมณ์ต่อใจของเรา
จงทำสิ่งนั้นเรื่อยไป ในขณะปัจจุบัน พุทโธเรื่อยไปในขณะปัจจุบัน
ประพฤติปฏิบัติเช่นนี้แหละเรียกว่าการดำเนิน แนวทางไปสู่ความสงบ
ทางด้านจิตใจ แนวทางอันนี้เป็นแนวทางที่เป็นไปตามลำดับ
ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ตรัสยืนยันให้เราท่านทั้งหลาย
ได้เกิดความเชื่อมั่นว่า ดำเนินไปตามลำดับ ตามลำดับเราจะไปถึงจุดหมายที่ท่านกล่าวไว้
โดยไม่ต้องสงสัย ก็คือหลักของวิตกวิจารปิติสุข
ที่จะนำไปสู่ความสงบเหมือนก้าวไปขั้นที่หนึ่ง
ก้าวขั้นที่สองวิจาร ก้าวขั้นที่สามปิติ ก้าวขั้นที่สี่สุข
ก้าวขั้นที่ห้าความสงบ
ต้องไปตามลำดับอย่างนี้เราก็มุ่งหวังจะให้สงบจะให้สงบ
แต่ว่าก้าวไม่ถูกลำดับ กลับไปกลับมาสลับไปสลับมา
ก็กลายเป็นจับจด กลายเป็นลนลาน
กลายเป็นความอยากอยากเกินกับเหตุที่ควรจะเกิดขึ้นมี
กับการประพฤติปฏิบัติ

เหมือนอยากกินอาหารอร่อย ๆ
แต่ไม่รู้วิธีทำที่จะทำให้มันอร่อยอย่างไร
เพียงแต่บอกว่าอยากจะกินอาหารที่อร่อย ถ้ารู้วิธีทำ
ใส่อะไรบ้าง ใช้เวลาเท่าไหร่
คลุกคล้าวกันอย่างไร หุ้งต้มอย่างไร
ความอร่อยมันจะเกิดขึ้นเอง
ความสงบก็เหมือนกัน
เราจะไปบังคับให้มันสงบ ๆ
คำว่าบังคับ ก็หมายถึงว่า อยากให้มันเป็นเร็ว ๆ นั้นเอง
แต่หารู้ไม่ว่าถูกอย่างมันมีเวลาของมัน
หายใจความก็มีเวลา หายใจออกก็มีเวลา
จะสั้นจะยาว จะมากก็น้อยก็ล้วนแล้วแต่อยู่ในกฎเกณฑ์ของกาลเวลา
เหมือนผลหมากรากไม้ เมื่อมันเกิดขึ้นมาก็อาศัยกาลเวลาทั้งหมด
จะให้เร่งรีบด้วยสารเคมีด้วยยาอะไรก็แล้วแต่
มันก็มีเวลาอยู่ในตัวของมันอาจช้าอาจเร็ว
แต่ก็ต้องอยู่ในกรอบของเวลาทั้งนั้นเลย
จากชั่วโมงอาจะเป็นครึ่งชั่วโมง จากครึ่งชั่วโมงอาจจะเป็นหนึ่งนาที
จากหนึ่งนาทีอาจจะเป็นครึ่งวินาที
ลักษณะอย่างนี้ ข้อสำคัญก็คือให้มีสติสัมปัชชัญญะ
คือรู้ตัวในขณะที่เรากำหนดอารมณ์อันใด อันหนึ่งมาเป็นเครื่องยึดทางด้านจิตใจ
พุทโธก็ดี ลมหายใจก็ดี ต้องรู้ตัวอยู่ทุกขณะว่าหายใจเข้าหรือหายใจออก
ว่ามีพุทโธหรือไม่มี ดูไปอย่างนี้ บริกรรมไปอย่างนี้
เหมือนเราเรื่อยไม้เพียงแต่ประคองเรื่อยให้มันตรงให้มันได้ฉาก ไม่กดมากนัก
ถ้ากดมากมันก็ติดถ้ากดน้อยมันก็ไม่กิน
ต้องให้พอดีรู้ด้วยมือของตัวเองว่าหนักว่าเบา
ผลสำเร็จก็จะเกิดขึ้น การประพฤติปฏิบัติก็เช่นเดียวกัน
ดังนั้นขอให้ท่านทั้งหลายมุ่งมั่นตั้งใจเถอะ.

วันคืนล่วงไปผ่านไปวัยของเรามันก็เสื่อมลงไปตามลำดับ
เวลาก็เหลือน้อยลง
สังขารร่างกายอันนี้ นับวันแต่จะเสื่อมสูญ
เมื่อยังใช้ได้กับการประพฤติดี ปฏิบัติชอบอยู่
ก็จงรีบเร่ง ให้เวลากับการปฏิบัติให้มาก
เวลาอย่างอื่นเราใช้มาเยอะแล้ว แต่เวลาที่เราอยู่กับลมหายใจนิ
หรือว่ารับรู้ลมหายใจดูลมหายใจ เราไม่ค่อยมีเวลา
หรือไม่ค่อยให้เวลา ให้เวลากับการทำงานให้เวลากับการดื่มการกินการสนุกสนาน
เพลิดเพลินรื่นเริงนั้นมากต่อมาก ก็ไม่รู้จักพอไม่รู้จักยุติ
ไม่รู้จักอิ่ม เราให้เวลากับลมหายใจ
ทั้ง ๆ ที่ลมหายใจมันก็มีมาตั้งแต่วันที่เราเกิดโน้น..
แต่เราไม่ได้ใส่ใจสนใจ พระพุทธเจ้าจึงสอนให้เรามาสนใจลมหายใจ
นี่แหละคือจุดอันสำคัญของชีวิต จะดับจะดำเนินต่อไปก็คือจุดนี้
ฉะนั้นดูจุดนี้คือลมหายใจนี้ เรื่อยไปมันจะเกิดอะไรขึ้นมันก็มีอยู่ในการพิจารณาการดูนี่แหละ
ก็ขอให้ตั้งใจ ดำเนินต่อไปจนกว่าจะได้เวลาอันสมควร เสียงสัญญาณดังขึ้น
แต่นั้นเราก็จะได้สาธยายมนต์กันไปตามลำดับ

ขอให้ทุกท่านตั้งใจทำให้ได้

อบรมธรรมกรรมฐาน
หลวงพ่อพระมหาประกอบ ธมฺมชีโว
ณ วัดป่ามหาไชย
อาทิตย์ที่ 26 ธ.ค. 64

WP Radio
WP Radio
OFFLINE LIVE
Scroll to Top
Scroll to Top